เมื่อ 22 ก.พ.64 เวลา 0940 น. ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล 1111 ภายใน สนง.กพ. กลุ่มเครือข่ายประชาชนปกป้องประเทศ จำนวน 2 คน นำโดย พันโทหญิง กมลพรรณ ชีวพันธ์ศรีเลขาธิการเครือข่ายประชาชนปกป้องประเทศ เดินทางมายื่นหนังสือถึง นายกรัฐมนตรีเรื่องการจัดการวัคซีนโควิดเนื่องจากมีความห่วงใยในการบริหารบ้านเมือง ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจจากโรคไวรัสโควิด -19 ซึ่งยังผลให้ประชาชนเดือดร้อน
ซึ่งปัญหาสำคัญของประเทศไทยคือการที่รัฐบาลจะให้ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ซึ่งเป็น บริษัท ที่ก่อตั้งขึ้นในสมัยในหลวงรัชกาลที่ 9 ด้วยพระราชประสงค์ที่จะใช้เพื่อผลิตยาราคาถูกซึ่งทำได้สำเร็จในการบริการประชาชนที่ยากไร้ แต่ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ไม่เคยมีประสบการณ์ในการผลิตวัคซีนเลย
โดยตั้งเป้าว่าจะผลิตวัคซีนได้ในเดือนพฤษภาคม 2554 ซึ่งเป็นการทำงานที่ล่าช้า และปัจจุบันก็ไม่ทราบความคืบหน้าว่ามีความพร้อมมากน้อยมีความคืบหน้าไปกี่% แล้ว ในขณะที่ บริษัท องค์กรเกสัชกรรมของรัฐบาลมีประสบการณ์เคยผลิตวัคซีนมาก่อน แต่รัฐบาลกลับไม่ใช้งาน
การที่รัฐบาลจะให้ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ผลิตวัคซีนของ เอสตร้าซีนีก้า จึงมีความสุ่มเสี่ยงอย่างสูง เป็นการโยนเผือกร้อนไปให้สถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะหากเกิดการผลิตไม่สำเร็จหรือมีผลข้างเคียงของวัคซีนและเกิดอันตรายถึงชีวิต ผลเสียก็จะกระทบต่อสถาบัน อันหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะปัจจุบันก็มีประชาชนบางส่วนได้ให้ข้อมูลต่อประชาชนเกี่ยวกับสถาบันที่ไม่ค่อยจะเป็นทางบวก และจะส่งผลกระทบต่อประเทศชาติและประชาชน 67,000,000 คน
ที่ต้องรอวัคซีนจาก บริษัท สยามไบโอไซเอ็น ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการผลิตวัคซีน และรัฐบาลยังผูกขาดไม่ยอมให้เอกชนดำเนินการ แม้ในจังหวัดท่องเที่ยวหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเช่น ภูเก็ต สมุย นำเข้าวัคซีนมาบริการประชาชนยังผลให้อาจจะเกิดความเสียหายตามมา คือ
1. หากมีการนำเชื้อโควิดจากแหล่งอื่นมาแพร่กระจายในประเทศไทยก็อาจจะเกิดการระบาค รอบสาม รอบสี่ รอบห้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซ้ำเติมวิกฤติเศรษฐกิจชาติเพิ่มขึ้น
2. ประเทศที่ฉีดวัคซีนแล้วอาจไม่อนุญาตให้คนไทยเข้าประเทศเขาเพราะเกรงจะนำเชื้อโรคไปกระจายในประเทศเขา
3. ชาวต่างชาติที่จะมาเที่ยวเมืองไทยก็มีความกังวลเกี่ยวกับการติดเชื้อโรคโควิดการฟื้นเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวซึ่งเป็นหัวใจหลักของเศรษฐกิจชาติก็ยากขึ้น
4. การหลุดพ้นจากวิกฤติเศรษฐกิจล่าช้ากว่าประเทศอื่น ๆ
จึงขอให้นายกรัฐมนตรีได้พิจารณาทบทวนในการที่จะให้ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ทำการผลิตวัคซีนเพียงผู้เดียว โดยอาจจะพิจารณาให้องค์การเภสัชกรรม ที่มีความพร้อมเพราะเคยผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นทุนเดิมสามารถนำมาประยุกต์และก่อสร้างต่อยอดเพิ่มเติมเป็นโรงงานสำหรับผลิตวัคซีนโควิด ได้เร็วขึ้น ซึ่งมีเครื่องมือ เครื่องจักร ที่ทันสมัย
มีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านการวิจัยและพัฒนาวัคซีน ให้รับการสนับสนุนในการผลิตวัคซีนหรือ ศูนย์วิจัยจุฬา เพื่อให้ทันการณ์ต่อวิกฤติของชาติและความต้องการภายในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงขอให้รัฐบาลได้ทบทวนและนำเสนอข้อห่วงใยจากประชาชนกลุ่มหนึ่งไปสู่ในหลวงรัชกาลที่ 10
เพื่อทบทวนการให้ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ผลิตวัคซีนโดวิต แต่เพียงผู้เดียวโดยให้รัฐบาลเปิดเสรีให้เอกชนนำเข้าวัคซีนเพื่อฉีดให้ประชาชนที่มีความพร้อมและต้องการ และอนุญาตให้องค์กรเภสัช ร่วมผลิตวัคซีนถ้าจำเป็นเพื่อประโยชน์แก่คนไทยทั้งแผ่นดินและสถาบันเอง ที่ไม่ต้องรับเผือกร้อนจากนโยบายของรัฐบาล
เวลา 0950 น. กลุ่มยื่นหนังสือผ่าน นายสาธิต สุทธิเสริม หน.ฝ่ายประสานมวลชน เพื่อให้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เวลา 1000 น. เดินทางกลับ
ที่มา สุดาตา นานนอน